ช่วงเวลานี้หลายคนคงมีเวลามาขึ้น ยิ่ง WFH ยิ่งมี curfew เวลาก็เยอะขึ้น ในสถานการณ์ปกติเราคงรู้สึกว่าตัวเองต้อง productive เอามากๆ
หลายคนพยายามหานู่นนี่ทำ แต่ก็ผลลัพธ์กลับกัน ความ productivity เริ่มต่ำลง และไม่มีกะใจอยากทำอะไรเท่าไหร่
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โควิดตอนต้นกพ. พอธุรกิจที่บ้านได้ผลกระทบแบบเต็มๆ ไม่มีรายได้เข้ามา ไม่สามารถ maintain พนักงานได้หมด
ต่อด้วยการหยุดชะงักของคลาสต่างๆ โค้ชชมเองพยายามมองทุกอย่างเป็นโอกาสที่จะทำอะไรใหม่ๆมากมาย
จัดการหลายเรื่องที่ทำค้างไว้ แต่ยิ่งทำ ยิ่งเครียด และเหนื่อยล้า จากคนพลังงานเกิน 100 กลับมาเป็นคนที่อยากอยู่นิ่งๆสักพัก นั่งดูซีรีย์เฉยๆ จนต้องถามตัวเองว่าเกิดอะไรกับความ productive ที่หายไป??
จนเมื่อวันก่อนได้อ่านบทความนึงเขียนดีมาก
ทำให้ได้เตือนตัวเองว่า สิ่งที่กำลังเจอ
นี่แหละ คือ “การเปลี่ยนแปลง”
มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดแบบไม่ทันตั้งตัว เหมือนเรายืนอยู่บนสะพานที่กำลังถูกไฟไหม้ เราต้องตัดสินใจเอาตัวรอด โดดลงน้ำเป็นหนทางเดียว ทั้งกลัว ทั้งเสี่ยง ความรู้สึกมันสับสนไปหมด แต่ไม่มีทางเลือก เพราะสะพานก็โดนเผาไปเรื่อยๆ เราเองก็ต้องทำอะไรก็ได้..ให้อยู่รอด
ภาพไฟไหม้สะพานเกิดขึ้น ก็มีภาพของ Change Curve แว๊บขึ้นมาทันที
โควิดเนี่ยก็เหมือนไฟไหม้สะพาน มันเป็นการเปลี่ยนแปลงกระทันหัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพวกนี้จะมีกระบวนการ 4 อย่าง
#1 ช่วงต้นของการเปลี่ยน จะเกิดอาการช็อค, ปฏิเสธ, เริ่มโทษคนอื่น, โทษตัวเอง
ช่วงนี้จะสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องที่เกิดขึ้นมันจริงเหรอ ทำไมไม่มีใครช่วยเรา ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา
#2 ช่วงที่เริ่มรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้รู้แล้วว่าเปลี่ยน และความรู้สึกก็มาเต็ม ทั้งกลัว, เสียใจ, เศร้าใจ, หดหู่, ท้อแท้, สิ้นหวัง เรียกว่าดำดิ่ง เป็นช่วงกราฟทยานทิ้งตัวลงจนสุด
และช่วงนี้แหละเป็นช่วงที่สมองต่อต้าน ไม่อยากจะทำอะไร
#3 เข้าใจและยอมรับ การเปลี่ยนจาก2มา3เนี่ยยาก และใช้เวลา บางคนดำดิ่งนานไปก็จะเป็นซึมเศร้าได้ สิ่งที่ต้องทำคือเริ่มตั้งสติ เข้าใจและยอมรับสถานการณ์ ยืนขึ้นแล้วลุกพร้อมเดินต่อ
#4 ทดลอง หาอะไรใหม่ๆ และเดินหน้าต่อ หลังจากยอมรับและลุกเดินต่อ สมองจะกลับมาทำงานปกติ เราจะมีพลังเริ่มค้นหา ทำอะไรใหม่ๆ และนำไปสู่ทางรอดใหม่ ที่ทำให้ชีวิตสดใสกว่าเดิม
.
.
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาโค้ชชมเพิ่งรู้ว่าตัวเองตกอยู่ใน #2 ของการเปลี่ยนแปลงแบบไม่รู้ตัว สิ่งที่เราควรทำ ไม่ใช่การพยายามกดดัน บีบคั้นลงโทษ ต่อว่าตัวเองว่าทำไมไม่ทำอะไรสักอย่าง
แต่สิ่งที่ควรทำที่สุดคือการใจดีกับตัวเอง โอบอุ้ม และให้กำลังใจตัวเองจากความเหนื่อยล้า ให้เวลากับตัวเองให้หยุด ได้คิด ได้พักสักหน่อยก่อน การหยุดพักและยอมรับทำให้จิตใจสงบลง เมื่อเกิดความสงบ สมองก็เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ
ตอนนี้โค้ชชมเองกำลังอยู่ใน #3 เริ่มเข้าใจและยอมรับ และพร้อมที่จะค่อยๆเดินต่อ
สำหรับบางคนอาจยังค้นพบว่าตัวเองยังอยู่ที่ #2 อยู่เลย ก็ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ไม่ต้องคาดคั้นกดดันตัวเองให้ทำนู่นนี่ พักก่อน นั่งนิ่งๆก่อน ให้เวลากับตัวเอง แล้วพร้อมเมื่อไหร่ ก็ค่อยๆลุกแล้วเดินต่อ
การเปลี่ยนแปลงนี้มันไม่ใช่ครั้งแรก และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ดังนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมชาติและหันกลับมาเข้าใจตัวเอง ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งไหนต่อไป ชีวิตก็พร้อมรับมือ และเดินต่อไปได้เสมอ